Uncategorized Archives - รถมือสอง คุณภาพดีราคาถูกที่สุด เอ็ดดี้ สมาร์ท คาร์
ข้อดีของ”เบาะผ้า” ที่เราไม่ค่อยรู้กัน!!
ปัจจุบันหลายคนมองว่าเบาะผ้าในรถยนต์มีไว้เพื่อให้ต้นทุนต่ำ ไม่หรูหราเท่ากับเบาะหนัง แถมยังล้าสมัยแบบสุดๆ แต่ในความเป็นจริงนั้น เบาะผ้ากลับมีข้อดีหลายประการอย่างที่หาไม่ได้ในเบาะหนังอีกด้วย จะมีอะไรบ้าง?
เบาะไม่อมความร้อน
โดยปกติแล้วเบาะนั่งที่หุ้มด้วยหนังแท้ชั้นดีจะมีคุณสมบัติไม่อมความร้อนเท่ากับหนังสังเคราะห์ แต่รถที่ใช้กันส่วนใหญ่ก็จะมีหนังสังเคราะห์เป็นส่วนประกอบด้วยกันแทบทั้งนั้น ดังนั้นเวลาที่จอดรถทิ้งไว้กลางแดดนานๆ จึงรู้สึกถึงความร้อนบริเวณแผ่นหลังเมื่อขึ้นมานั่งบนรถใหม่ๆ แตกต่างจากเบาะผ้าที่สามารถระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ผู้โดยสารไม่รู้สึกร้อนเท่ากับเบาะหนัง เหมาะสำหรับรถที่ต้องจอดทิ้งไว้กลางแดดเป็นประจำ
ยึดรั้งร่างกายขณะเข้าโค้งได้ดี
เบาะผ้าจะทำให้ร่างกายไม่ให้ลื่นไถลไปกับแรงเหวี่ยงของรถโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะเข้าโค้ง ต่างจากเบาะหนังที่จะลื่นกว่ามาก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมรถแรงๆ หรือซูเปอร์คาร์มักเลือกใช้วัสดุหนังกลับมาหุ้มเบาะ เนื่องจากมีคุณสมบัติคล้ายเบาะผ้าหรือกำมะหยี่ในการยึดรั้งร่างกายให้อยู่กับที่
แต่หลายคนก็อาจรู้สึกว่าเบาะผ้านั่งไม่สบายนัก เนื่องจากไม่สะดวกในการปรับเปลี่ยนอริยาบทต่างๆ ซึ่งก็ถือเป็นข้อเสียของเบาะผ้าที่ต้องยอมรับนั่นเอง
ให้ความนุ่มสบายกว่า
จริงอยู่ที่เบาะนั่งหุ้มหนังแท้คุณภาพดี มักให้ความนุ่มสบายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่หากเป็นเบาะหนังสังเคราะห์เกรดไม่สูงนักซึ่งมักพบได้จากร้านรับหุ้มเบาะทั่วไปล่ะก็ มักจะให้ความรู้สึกแข็งกระด้าง ไม่นุ่มนวลเท่ากับเบาะผ้าแบบเดิมๆ จึงควรพิจารณาให้ดีก่อนเปลี่ยนเป็นเบาะหนัง หรือยอมกัดฟันลงทุนเลือกหนังคุณภาพดี จะช่วยให้คุณใช้รถได้อย่างแฮปปี้มากกว่า
.คงสภาพเดิมได้ยาวนานกว่า
แม้ว่าเบาะหนังจะสามารถทำความสะอาดได้ง่าย ไม่อมฝุ่น เช็ดคราบสกปรกได้อย่างสะดวก แต่เบาะหนังก็อาจเสียรูปได้ง่ายเวลาที่ใช้งานไปนานๆ ทำให้ดูเก่าโทรมลงได้ โดยเฉพาะเบาะหนังประเภทที่ดีลเลอร์แถมมาให้นั้น ส่วนมากมักเป็นหนังพียูหรือพีวีซีที่คุณภาพไม่สูงนัก ทำให้หนังแตกหรือขาดออกเมื่อใช้งานไปนานๆ ต่างจากเบาะผ้าที่มักคงสภาพเดิมได้ยาวนานกว่า
อย่างไรก็ดี เบาะผ้ามีข้อเสียหลายอย่างที่ต้องยอมรับด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการสะสมความชื้นและสิ่งสกปรกได้ดี ซึ่งเป็นต้นเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์และเชื้อโรคที่ต้องสัมผัสกับร่างกายตลอดเวลา แถมยังดูแลรักษายาก จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะในการทำความสะอาดให้หมดจด อีกทั้งยังมีผลต่อราคาขายต่อ เนื่องจากผู้ซื้อมักจะมองหาเบาะหนังเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ราคาขายต่อไม่ดีเท่า
ดังนั้น ก่อนที่คุณจะนำรถเบาะผ้าไปหุ้มหนังแล้วล่ะก็ ลองพิจารณาข้อดี-ข้อเสียเหล่านี้ดูก่อน จะได้ใช้รถอย่างมีความสุขนั่นเองครับ
ขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.sanook.com/auto/
สเปรย์และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือทำให้ ” คอนโซลภายในรถเสียหาย” จริงไหม?
ในช่วงที่โรคโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดเช่นนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ “เจลล้างมือ” หรือ “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้ฆ่าเชื้อโรคในมือหลังจากทำภารกิจต่างๆ แต่ก็มีชิ้นส่วนหลายอย่างภายในรถที่อาจชำรุดเสียหายได้หากเกิดการสัมผัสกับเจลแอลกอฮอล์บ่อยครั้ง
โดยปกติแล้วเจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่ได้มาตรฐาน สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องความเข้มข้นของเอทิลแอลกอฮอล์ (Ethyl Alcohol) มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป จึงจะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่ เชื้อวัณโรค เชื้อรา และไวรัสบางชนิดได้
อย่างไรก็ดี หลายคนทราบอยู่แล้วว่าแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ที่ทำให้เกิดการกัดกร่อนของวัสดุบางชนิดได้ เช่น วัสดุหนัง, ยาง และสารเคลือบต่างๆ ซึ่งพบได้ในห้องโดยสารของรถยนต์ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น พวงมาลัย, หัวเกียร์, หนังหุ้มเบาะ, หนังหุ้มแผงประตู, แผงคอนโซล รวมถึงปุ่มกดต่างๆ ซึ่งแอลกอฮอล์จะทำให้สารเคลือบผิววัสดุหลุดออกได้ ส่งผลให้มีการหลุดล่อน, แห้ง หรือมีสีซีดจางลงจนเกิดความเสียหาย
ดังนั้น หลังล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้ง ควรอดใจรอให้มือแห้งสนิทก่อนจับพวงมาลัยหรือปุ่มกดต่างๆ ภายในรถ มิเช่นนั้นแล้วหนังหุ้มพวงมาลัยหรือปุ่มกดอาจหลุดลอกล่อนจนได้รับความเสียหายได้
นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงการใช้ทิชชู่เปียกที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในการเช็ดชิ้นส่วนที่เป็นหนังหรือยาง เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายได้เช่นกัน ควรใช้เฉพาะกับชิ้นส่วนพลาสติกที่ไม่มีวัสดุเคลือบเท่านั้น หากจำเป็นต้องเช็ดชิ้นส่วนที่เป็นหนังหรือยาง เช่น พวงมาลัย, หัวเกียร์ และปุ่มกดต่างๆ ควรใช้ผ้าสะอาดกับน้ำเปล่าเช็ดจะดีที่สุดครับ
หากสรุปง่ายๆ ก็คือ เจลแอลกอฮอล์ล้างมือสามารถใช้ได้ปกติ แต่ต้องรอให้แห้งสนิทก่อนจับชิ้นส่วนภายในรถนั่นเองและอย่าลืมนำเจลหรือสเปรย์ออกจากรถทุกครั้งที่ใช้เสร็จเพราะถ้าทิ้งไว้ในรถคุณภาพของแอลกอฮอล์จะลดลงเเละไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้
ขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.sanook.com/auto/
5 แอปพลิเคชั่น ที่คนขับรถควรมีไว้
สำหรับคนที่ใช้รถอยู่เป็นประจำนั้นแม้ว่าคุณจะรักรถมากเท่าไหร่ แต่ว่าคุณเพียงคนเดียวอาจจะยังคงยากเกินไปสำหรับการดูแลรถตามลำพัง ดังนั้นแล้วเทคโนโลยีอย่าง “แอปพลิเคชั่น” บนมือถือเองต่างก็มีการออกแบบโปรแกรมต่างๆ ที่มีส่วนช่วยให้คุณได้ใช้รถได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น มีแอปฯ อะไรบ้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนที่ใช้รถใช้ถนน ลองมาทำความรู้จักและเตรียมโหลดเก็บไว้ในเครื่องกันได้เลย
5. JS100
จส.100 จากคลื่นวิทยุที่รายงานสภาพการจราจรของประเทศไทยมานาน มาสู่การเป็นแอปพลิเคชั่นที่เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น มีทั้งฟังก์ชันฟังวิทยุออนไลน์ แจ้งเหตุด่วนอุบัติเหตุ ของหาย ดูแผนที่การเดินทาง ดูข้อมูลทวิตเตอร์ และสามารถแจ้งขอความช่วยเหลือฉุกเฉินหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับคุณได้ด้วย นับว่าเป็นประโยชน์ด้านข่าวสารสำหรับคนที่ใช้รถใช้ถนนจริงๆ นะ
4. Thailand Highway Traffic
สำหรับคนที่ขับรถเองอยู่เป็นประจำนั้น ถ้าหากว่ามีแอปฯ ที่แสดงข้อมูลสภาพการจราจรของทางหลวงเส้นต่างๆ ในประเทศไทยได้ก็คงจะดี เพราะแอปฯ นี้จะรวมภาพจากกล้องจราจรกว่า 100 ตัวที่ติดตั้งอยู่บนทางหลวง สามารถแจ้งเตือนเส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุซึ่งเรากำลังใช้เดินทางอยู่ รวมถึงแสดงจุดที่เราสามารถใช้บริการได้อย่างเช่น ปั๊มน้ำมัน ห้องน้ำ และจุดพักรถ เป็นต้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับคนที่ขับรถออกไปตามจังหวัดต่างๆ อยู่เป็นประจำ
3. OBD Auto Doctor
ถึงแม้ว่าจะใช้รถกันอยู่เป็นประจำแต่บางทีเราก็อาจจะหลงลืมไปไม่สามารถจดจำรายละเอียดที่เกี่ยวกับรถของตัวเองได้ทั้งหมด แอปฯ นี้จะช่วยให้คุณสามารถตรวจเช็กสภาพรถยนต์ว่าตอนนี้รถยนต์ของคุณมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง รวมถึงยังให้คำแนะนำในการแก้ปัญหา และยังแจ้งสถานะต่างๆ ของรถได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นรอบเครื่องยนต์ระดับความเร็วอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เป็นแอปฯ ที่จะทำให้คุณดูแลรถของคุณได้ง่ายขึ้น สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานขึ้นด้วย
2. Instawash
สำหรับคนที่รักรถมาก เน้นความสะอาดของรถแบบนี้ คงจะดีกว่าหากว่ามีบริการที่สามารถมาล้างรถให้เราถึงที่เองได้เลย เป็นล้างรถระดับพรีเมี่ยมอีกด้วย ซึ่งทำความสะอาดรถของคุณโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการทำความสะอาดรถโดยตรงที่คอยให้บริการอยู่ ซึ่งเหมาะกับคนที่ใช้รถในเมืองมากเพราะจะช่วยให้คุณประหยัดเวลา ไม่ต้องเดินทางไปคาร์แคร์ เจอรถติด ไม่ต้องเข้าคิวนานๆ อีกด้วย มีทั้งแบบที่ร้านด่วนและแบบที่จองล่วงหน้านะ ศูนย์ในเรื่องความปลอดภัยก็ไว้ใจได้เพราะขณะที่ทำการล้างนั้นพนักงานจะสวมกล้อง GoPro เอาไว้อยู่ตลอดเวลาด้วย
1. Police i lert u
เป็นแอปฯ ที่สามารถขอความช่วยเหลือจากตำรวจได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยให้ส่งข้อมูลส่วนตัวและภาพถ่ายช่วงเวลาที่เกิดเหตุและตำแหน่งที่คุณอยู่ไป ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยรับเรื่องและรีบประสานงานไปให้ความช่วยเหลือในทันที ไม่ว่าจะเป็นเหตุอาชญากรรม หรือว่าเป็นอุบัติเหตุจากบนท้องถนนก็ตาม มีติดเครื่องเอาไว้สักหน่อยก็สามารถอุ่นใจได้ดีสุดๆ แล้ว
แอปฯ ต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์เบื้องต้นสำหรับคนที่ใช้รถมากเลยจริงๆ ได้ทั้งการดูแลรักษาเครื่องยนต์ให้ใช้งานได้ รักษาความสะอาดของรถ คอยดูแลเรื่องการจราจรเรื่องความปลอดภัย รวมถึงสามารถขอความช่วยเหลือยามที่เกิดเหตุด่วนเหตุร้ายได้อีกด้วย ดังนั้นแล้วลองเช็กกันดูเลยว่าคุณมีแอปฯ เหล่านี้อยู่ในเครื่องแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีก็รีบโหลดเอาไว้ใช้งานกันได้เลย
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.sanook.com ด้วยนะครับ
ตำแหน่ง ของเกียร์ออโต้ มันคืออไรบ้าง
รถยนต์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักเป็นเกียร์อัตโนมัติแทบทั้งหมดแล้ว ซึ่งมือใหม่หลายคนอาจยังมีข้อสงสัยว่า ตำแหน่งต่างๆ ของเกียร์อัตโนมัติ ใช้งานอย่างไรบ้าง?
เกียร์อัตโนมัติในปัจจุบันสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ เกียร์อัตโนมัติแบบมีลำดับขั้น และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ซึ่งในมุมการใช้งานของคนขับรถทั่วไปถือไม่แตกต่างกันนัก เพราะยังคงใช้ชื่อเรียกตำแหน่งเกียร์เหมือนๆ กัน
ตำแหน่ง P – Park
ตำแหน่งเกียร์ P จะถูกด้านบนสุดของแป้นเกียร์ ใช้สำหรับจอดรถเพื่อดับเครื่องยนต์ ซึ่งความพิเศษของตำแหน่งเกียร์ P คือ รถยนต์จะถูกเข้าสลักล็อค ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เลย ดังนั้น หากจำเป็นต้องจอดรถขวางทางคันอื่น ไม่ควรใช้ตำแหน่งเกียร์ P เด็ดขาด เพราะจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเข็นรถขยับไปมาได้
ตำแหน่ง R – Reverse
ตำแหน่งเกียร์ R ก็คือเกียร์ถอยหลังนั้นเอง ซึ่งการสลับจากตำแหน่ง P มาเป็นตำแหน่ง R จำเป็นต้องเหยียบเบรกแล้วจึงกดปุ่มปลดล็อคบริเวณหัวเกียร์ด้วย แต่หากเป็นรถที่ใช้แป้นเกียร์แบบขั้นบันได ก็จะใช้วิธีเหยียบเบรกแล้วจึงผลักคันเกียร์ไปด้านข้าง จึงจะสามารถเข้าเกียร์ R ได้
ตำแหน่ง N – Neutral
N ก็คือ ตำแหน่งเกียร์ว่าง ตัวรถจะไม่มีการส่งกำลังใดๆ จากเครื่องยนต์ แต่หากหยุดรถในพื้นที่ลาดชัน จะทำให้รถไหลได้ ซึ่งเป็นจุดแตกต่างระหว่างเกียร์ N และ P นั่นเอง
ตำแหน่ง D – Drive
D เป็นตำแหน่งสำหรับเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ซึ่งโดยปกติแล้ว เกียร์ D ถือว่าครอบคลุมการขับขี่ในทุกรูปแบบ หากคุณเป็นมือใหม่หัดขับ การใช้ตำแหน่งเกียร์ D อย่างเดียวก็เพียงพอต่อการเดินทางทั่วไปแล้ว
ตำแหน่ง 4, 3 และ 2
สำหรับรถบางรุ่นที่มีตำแหน่งเป็นตัวเลข เช่น 2, 3 และ 4 หรือ มีอักษร D ควบคู่ เช่น D2, D3 และ D4 นั่นหมายถึง อัตราทดสูงสุดที่ยอมให้เกียร์ทด ยกตัวอย่างเช่น ตำแหน่ง 2 หมายถึง รถจะใช้เพียงเกียร์ 1-2 เท่านั้น เช่นเดียวกับตำแหน่งเกียร์ 4 รถจะใช้เพียงเกียร์ 1-4 ไม่ปรับเป็นเกียร์ 5 ให้แต่อย่างใด
ซึ่งประโยชน์ของตำแหน่งเกียร์ลักษณะนี้ คือ ใช้ในกรณีเร่งแซง หรือขึ้นทางชันด้วยความเร็ว จะช่วยให้รถมีแรงมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ผู้ขับขี่จำเป็นต้องเลือกตำแหน่งเกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วในขณะนั้นด้วย
ตำแหน่ง 1 หรือ L
ตำแหน่งเกียร์ 1 หรือ L หมายถึง เกียร์ 1 ซึ่งรถจะไม่มีการปรับอัตราทดใดๆ ให้ จะค้างอยู่ที่เกียร์ 1 เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งใช้ในกรณีขึ้นทางชันมากๆ หรือเวลาที่ต้องการแรงเบรกจากเครื่องยนต์
ตำแหน่ง M – Manual
ตำแหน่ง M หมายถึงโหมดการขับขี่แบบเกียร์ธรรมดา โดยจะใช้การผลักคันเกียร์ตำแหน่ง + หรือ – ในการเปลี่ยนอัตราทดด้วยตัวเอง เช่น ในกรณีรถอยู่ในเกียร์ 3 ก็จะค้างไว้ที่เกียร์ 3 อยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนเป็นเกียร์ 4 ให้ แต่หากลดความเร็วลงมาจนต่ำกว่าระดับความเร็วของเกียร์นั้นๆ เกียร์จะปรับลดให้อัตโนมัติ พูดง่ายๆ คือ ปรับลงให้ แต่ไม่ปรับขึ้นให้
ปุ่ม Sport
รถยนต์หลายคันจะมีปุ่ม Sport มาให้ บางคันอาจใช้เป็นหนึ่งในตำแหน่งเกียร์ แทนที่ด้วยสัญลักษณ์ S ซึ่งโหมดสปอร์ตจะปรับสมองกลเกียร์ให้เปลี่ยนอัตราทดในรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น ช่วยเพิ่มกำลังจากเครื่องยนต์ให้เร่งแซงได้ฉับไวกว่าปกติ ซึ่งโหมด Sport ส่วนมากจะป้องกันไม่ให้เกียร์ทดไปยังตำแหน่งสูงสุด (เช่น หากเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด สมองกลเกียร์จะสั่งงานให้ใช้เฉพาะเกียร์ 1-4 เท่านั้น) จึงไม่ควรใช้โหมด Sport ขณะขับขี่ทางไกลด้วยความเร็วสูง เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ
ปุ่ม Eco
ปุ่ม Eco จะมีลักษณะการทำงานตรงกันข้ามกับโหมด Sport คือ เปลี่ยนอัตราทดให้เร็วขึ้นกว่าปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้รอบเครื่องยนต์สูงจนเกินไป ผลที่ได้คือ รถกินน้ำมันน้อยลง แต่ก็แลกมากับตัวรถที่ตอบสนองช้าลงเช่นกัน
เหล่านี้เป็นพื้นฐานในการขับขี่เกียร์อัตโนมัติ หากรู้จักการทำงานของตำแหน่งเกียร์แต่ละตำแหน่ง ก็จะช่วยให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นครับ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.sanook.com ด้วยนะครับ